20-23 พฤศจิกายน 2567

ของมันต้องมี! เหตุผลที่ Additive Manufacturing ตอบโจทย์อุตสาหกรรม 4.0

 

• Additive Manufacturing หรือ การผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชี้วัดว่าผู้ผลิตรายใดจะแข่งขันได้และประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรม 4.0

• ข้อดีของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ คือ ช่วยลดต้นทุน ประหยัดทรัพยากร ตอบโจทย์ความยั่งยืน ลองผิดลองถูกได้ ออกแบบและปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าได้ รวมถึงช่วยเร่งความเร็วของการเกิดนวัตกรรม

• ตลาดการพิมพ์ 3 มิติจะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าภายในปี 2569 และจะมุ่งพัฒนาวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง

 

 

เมื่อธุรกิจและผู้ผลิตจำนวนมากขึ้นเริ่มเปลี่ยนไปสู่การบูรณาการอุตสาหกรรม 4.0 การผลิตแบบเพิ่มเนื้อหรือเติมเนื้อวัสดุ (Additive Manufacturing) ที่คนส่วนมากรู้จักกันในชื่อเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทและทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะช่วยให้ห่วงโซ่การผลิตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

 

โดยเป็นการสร้างวัตถุ 3 มิติตามแบบจำลองคอมพิวเตอร์ (มักสร้างในโปรแกรม เช่น CAD หรือที่คล้ายกัน) ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องพิมพ์ที่ใช้ และมักจะพิมพ์เป็นชั้น ๆ ส่งผลให้เกิดวัตถุ 3 มิติจับต้องได้อย่างสมบูรณ์

 

ปัจจุบันการพิมพ์ 3 มิติได้ก้าวไปไกลกว่าโฆษณาเกินจริงในทศวรรษที่ผ่านมา และได้กลายเป็นโซลูชันที่มีประโยชน์ในอุตสาหกรรมการผลิตเป็นอย่างมาก โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตแรก ๆ ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างกว้างขวางคืออุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ชิ้นส่วนรถยนต์และต้นแบบการออกแบบทั้งหมดถูกผลิตขึ้นแบบ 3 มิติ เพื่อตรวจสอบขนาด รูปลักษณ์ และความพอดีก่อนทำการออกแบบขั้นสุดท้าย 

 

เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนและนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 โดยนำเสนอช่องทางใหม่สู่นวัตกรรมและการปรับแต่ง และกระตุ้นให้เกิดการค้นพบวัสดุใหม่ที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิต เห็นได้ชัดเจนว่าการพิมพ์ 3 มิติเป็นกลยุทธ์ที่ได้เปรียบอย่างมากสำหรับการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และทดสอบว่ามันทำงานอย่างไร ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การบินและอวกาศ เสื้อผ้า และอีกมากมาย

 

 

เทคโนโลยีที่โดดเด่นนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถข้ามขีดจำกัดของตนได้ภายใต้ต้นทุนที่ต่ำกว่า สูญเสียทรัพยากรน้อยลง เพราะช่วยลดการใช้วัสดุส่วนเกิน ไม่ทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนที่จะดำเนินการกับขั้นตอนการผลิตที่ชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งอาจใช้วัสดุถาวรซึ่งมีราคาแพงกว่า ทำให้มีความสามารถในการทดสอบแนวคิดในราคาถูกผ่านการลองผิดลองถูก ไม่เพียงเท่านี้ยังช่วยประหยัดเวลาได้อย่างน้อย 2-3 วัน ในการจัดหาแม่พิมพ์และผลิตชิ้นส่วน  ทั้งยังช่วยยกระดับความสามารถในการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงช่วยเร่งความเร็วของการเกิดนวัตกรรม และทำให้สินค้าออกสู่ตลาดเร็วขึ้น

 

นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิตินั้นแทบจะไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ชำรุดหรือแตกหัก ไปจนถึงการทำแม่พิมพ์แบบกำหนดเองเพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่แตกต่างและหลากหลาย ขณะที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะมีมากขึ้นเป็นลำดับ จากการที่บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่ในปัจจุบันลงทุนในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติระดับไฮเอนด์ที่ยืดหยุ่นและรวดเร็ว 

 

อย่าลืมว่าธุรกิจใดที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและมอบความคุ้มค่าที่ดีที่สุดย่อมมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะ และนี่ก็คือข้อได้เปรียบที่มิอาจปฏิเสธได้ของการพิมพ์ 3 มิติ

 

นอกจากนี้ ด้วยกระบวนการการผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุเป็นวิธีการผลิตที่ยั่งยืนกว่าปกติอยู่แล้ว จึงเหมาะสมกับอุตสาหกรรมการผลิตในยุค 4.0 ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงหลัก ESG ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืนด้วย 

 

 

ดังนั้น การผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุไม่เพียงแต่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการผลิต แต่ยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วย

 

ทั้งนี้ Hubs แพลตฟอร์มการผลิตแบบออนดีมานด์ได้เปิดตัวรายงานแนวโน้มการพิมพ์ 3 มิติล่าสุด ซึ่งติดตามการพัฒนาและแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ 3 มิติ พบว่าตลาดการพิมพ์ 3 มิติมีการเติบโตในเชิงบวกระหว่างปี 2564 ถึง 2565 กลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยเติบโตขึ้นประมาณ 19.8% และคาดการณ์ว่าตลาดการพิมพ์ 3 มิติจะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าภายในปี 2569 โดยคาดว่าจะมีรายได้มากถึง 44.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในอนาคตจะมุ่งสู้การพัฒนาวัสดุการพิมพ์ 3 มิติประสิทธิภาพสูง  อาทิ โลหะทนไฟ เซรามิก โพลีเมอร์อุณหภูมิสูง (ทนทานต่อความร้อนและสารเคมี) และคอมโพสิต (วัสดุที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่มีโครงสร้างและคุณสมบัติที่แตกต่างกันตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมกัน)

 

ผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องจักรและโซลูชั่นที่เกี่ยวข้อง ที่ส่วนแสดงพิเศษ Additive Manufacturing รวมถึงเจรจาธุรกิจกับผู้นำเสนอเทคโนโลยีแบรนด์ระดับโลกด้วยตัวเอง ที่งานเมทัลเล็กซ์ 2023 ระหว่าง 22-25 พฤศจิกายน 2566 นี้ ที่ไบเทค บางนา