19-22 พฤศจิกายน 2568

การปรับตัวในกระแสโลก: อุตสาหกรรมโลหการไทยกับนโยบายภาษีของทรัมป์

 

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ธุรกิจที่ค้าขายกับต่างประเทศจึงต้องคอยจับตาดูนโยบายต่างๆ ที่อาจกระทบกับการทำงานของพวกเขาอยู่เสมอ สำหรับอุตสาหกรรมโลหการของไทยที่เติบโตแข็งแรง การเฝ้าดูนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะในยุคที่โดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแนวคิดการเก็บภาษีของเขามีโอกาสที่จะสร้างทั้งปัญหาและโอกาสให้กับผู้ผลิตและผู้ส่งออกโลหะของไทย

 

 

ผลกระทบจากกำแพงภาษีและข้อจำกัดทางการค้า

 

ในอดีต ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะใช้นโยบายที่เน้นปกป้องธุรกิจในประเทศของตัวเอง เพื่อให้ธุรกิจสัญชาติอเมริกันแข็งแกร่งขึ้น เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดสำหรับธุรกิจโลหการไทยคือ ปัจจุบัน ทรัมป์ได้ส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ให้กับ 14 ประเทศ โดยประเทศไทยยังคงอัตราภาษีไว้ที่ 36% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตามที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าโลหะจากไทยแพงขึ้นเมื่อส่งไปขายที่สหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้าไทยสู้ราคาได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ หรือสินค้าจากประเทศที่สหรัฐฯ มีข้อตกลงทางการค้าที่ดีกว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อยอดส่งออกและรายได้ของบริษัทโลหการไทยที่พึ่งพาสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่อยู่มาก

 

นอกจากภาษีนำเข้าโดยตรงแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีบริษัทของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการแข่งขันของบริษัทโลหการไทยได้เช่นกัน ถ้าบริษัทในสหรัฐฯ จ่ายภาษีน้อยลง พวกเขาก็อาจต้องการผลิตสินค้าในประเทศตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สั่งซื้อของจากไทยน้อยลง การเปลี่ยนแปลงแหล่งซื้อของแบบนี้จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตไทยที่พยายามรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐฯ ไว้

 

 

แรงจูงใจให้ย้ายโรงงานกลับประเทศและปรับเปลี่ยนแหล่งซื้อของ

 

นโยบายภาษีของทรัมป์ยังอาจกระตุ้นให้บริษัทอเมริกันย้ายโรงงานผลิตกลับประเทศ (หรือที่เรียกว่า "Reshoring") หรือกระจายแหล่งซื้อวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนออกจากเอเชีย แม้ว่าแนวโน้มนี้จะมีมานานแล้วด้วยเหตุผลอื่นๆ แต่เงื่อนไขภาษีที่ดีในสหรัฐฯ ก็อาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เร็วขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมโลหการไทย นี่อาจหมายถึงคำสั่งซื้อที่ลดลงจากบริษัทข้ามชาติในสหรัฐฯ ที่เคยพึ่งพาผู้ผลิตไทยในการป้อนชิ้นส่วนและสินค้าสำเร็จรูป

 

 

โอกาสและแนวทางการปรับตัว

 

แม้จะมีปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แต่นโยบายภาษีของทรัมป์ก็อาจสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมโลหการไทยได้เช่นกัน ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเฉพาะบางอย่าง หรือยกเว้นภาษีสินค้าโลหะบางประเภท ผู้ผลิตไทยที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ อาจอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่งที่ต้องเจอภาษีสูงๆ

 

 

ความคืบหน้าในการเจรจาและการตอบสนองของไทย

 

รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ยังคงเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอปรับลดอัตราภาษีลง โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ๆ ไปแล้ว เช่น การลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 70% ภายใน 5 ปี และการเพิ่มการซื้อขายพลังงานและเครื่องบินโบอิ้ง รัฐบาลไทยยืนยันจุดยืนว่าจะไม่ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการเป็น 0% ตามที่สหรัฐฯ ต้องการ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องภาคเอกชนและเกษตรกรไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ไทยพร้อมลดภาษีนำเข้าในบางรายการที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจมากนัก และได้มีการจัดทำรายการสินค้าที่จะสามารถลดภาษีได้เพื่อเสนอสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ เน้นปกป้องธุรกิจของตัวเอง อาจเป็นแรงผลักดันให้บริษัทโลหการไทยขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ และสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในที่อื่นๆ เช่น อาเซียน ยุโรป และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ การลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ จะช่วยให้ผู้ผลิตไทยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ และสร้างการส่งออกที่มั่นคงและกระจายตัวมากขึ้นได้ สิ่งนี้ยังอาจรวมถึงการเน้นผลิตสินค้าโลหะที่มีมูลค่าสูงและมีความพิเศษเฉพาะตัวเพื่อตอบสนองตลาดเฉพาะกลุ่มทั่วโลก

 

 

สรุป

 

อุตสาหกรรมโลหการในประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งได้รับผลจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอัตราภาษี 36% ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แม้ว่าปัญหาอย่างภาษีที่อาจเพิ่มขึ้น ข้อจำกัดทางการค้า และแนวโน้มการย้ายโรงงานกลับประเทศ จะเป็นเรื่องน่ากังวล แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องมีการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ด้วยเช่นกัน ธนาคารและนักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายแห่งเตือนว่า หากประเทศไทยต้องแบกรับภาษีนำเข้า 36% อาจส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกสูงถึง 1.23 ล้านล้านบาท และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก แรงงาน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า

 

การมองหาตลาดใหม่ๆ การสร้างความแตกต่างให้สินค้า และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน จะช่วยให้บริษัทโลหการไทยรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และอาจค้นพบช่องทางใหม่ๆ ในการเติบโตในเศรษฐกิจโลกได้ การติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และการปรับแผนธุรกิจอย่างรวดเร็ว จะเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจโลหการของไทย